เน็ตเวิร์ก…ถึงจุดเปลี่ยน!!
ทุกก้าวขยับของการพัฒนาเทคโนโลยีเน็ตเวิร์ก ต้องยอมรับว่า “ใช้เวลา” กว่าที่จะได้มาตรฐานกลาง
กว่าที่คนจะยอมรับและปรับเปลี่ยนตามความก้าวหน้า
ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi ที่เริ่มๆ ใช้กันบ้างแล้ว WiMAX ที่กำลังจะมา
รวมไปถึงระบบความปลอดภัยบนเครือข่ายซึ่งยุคนี้ต้องเจาะจงไปที่เครือข่ายไร้สาย
หรือแม้แต่ความฉลาดเฉลี่ยวที่เน็ตเวิร์กต้องมีมากขึ้น
จนไปถึงอุปกรณ์ก็จะเห็นการผนวกเพิ่มฟังก์ชันให้เก่งกาจกว่าเดิม
ยิ่งกว่านั้นยังก้าวไปสู่ "คอนเวิร์จ เน็ตเวิร์ก” ซึ่งเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น
การปรากฏของสิ่งที่กล่าวมานี้ต้องบอกว่า...
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่โลกเน็ตเวิร์กเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
จุดเปลี่ยนระบบเน็ตเวิร์ก
วรกร ภัทรายานันท์ กรรมการผู้จัดการประจำภาคพื้นอินโดจีน บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ จำกัด
บอกกับ eWEEK เกี่ยวกับทิศทางเทคโนโลยีปี 2548 ว่า...
“เทคโนโลยีไร้สายยังคงมาแรง” ผมเชื่อว่าWi-Fi จะมีความต้องการมากยิ่งขึ้น
ปีนี้จะเห็นการใช้งานที่มากขึ้น หลังจากกล่าวถึงกันมานาน นั่นเป็นเพราะราคาเริ่มลดลง
นอกจากการนำไปใช้งานในองค์กรแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีไร้สายอย่าง Wi-Fi
ยังถูกนำไปใช้งานภายในบ้านเรือนมากขึ้นด้วย ขณะเดียวกันอุปกรณ์ต่างๆ
ก็ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือเป็นทั้งเราเตอร์และเป็นทั้ง Wireless LAN
หรือกระทั่งอินเทลเองก็ได้บิลด์อิน Wireless Security เอาไว้ในตัวชิป
สำหรับซิสโก้เทคโนโลยีรุ่นใหม่ก็มี Security ติดมาด้วย
อีกตัวหนึ่งที่จะมาแรงในแนวคิดของ “วรกร” คือ “Security”
ปัจจุบันระบบเน็ตเวิร์กต้องมาพร้อมด้านความปลอดภัยสูง
หากละเลยกระทั่งเกิดปัญหาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในทันที
เพราะการคุกคามสามารถทำได้รวดเร็วเพียงไม่กี่นาทีก็ทำลายระบบ หรือเจาะข้อมูลทั้งหมดได้
ซึ่งเมื่อมีปัญหาย่อมหมายถึงการเสียชื่อเสียง และสั่นคลอนความมั่นคงขององค์กรจะเป็นปัญหาที่ตามมา
“เราเองได้ประกาศตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ออกมาเป็น Integrated Service
คือ บันเดิลระบบความปลอดภัยไว้ในผลิตภัณฑ์แล้วโดยจะมีทั้งใน WLAN, IP Phone, เราเตอร์
และ สวิตซ์ ซึ่งจะสามารถช่วยผู้ใช้ได้ในเบื้องต้น” วรกร เสริม
ซึ่งเมื่อกล่าวถึงระบบเน็ตเวิร์ก ทิศทางปีนี้จะเห็นแนวโน้มว่าเน็ตเวิร์กมีความฉลาดมากขึ้น
ถึงขั้นที่เรียกว่า Self defend network โดยสามารถตรวจสอบความผิดปกติ
หรือการแปลกปลอมเข้ามายังระบบได้โดยอัตโนมัติ
และสามารถซ่อมแซมตนเองได้ในกรณีที่มีอุปกรณ์เสียหาย
ใช้งานไม่ได้ อีกทั้งยังสามารถจับพฤติกรรมการบริโภคข้อมูล
หรือการใช้งานของยูเซอร์แต่ละคนที่แตกต่างกันได้
วรกร ยกตัวอย่างเช่นที่ซิสโก้ประเทศไทย ระบบเน็ตเวิร์กจะทำการเรียกข้อมูลที่ประเทศไทยใช้บ่อยๆ
มาไว้ที่เซิร์ฟเวอร์ในไทยโดยอัตโนมัติ แทนที่จะต้องเรียกจากต่างประเทศเมื่อต้องการใช้งาน
เพื่อให้สะดวกและรวดเร็ว โดยการเรียกข้อมูลนั้นระบบเน็ตเวิร์ก
จะดำเนินการในเวลากลางคืนยามที่เน็ตเวิร์กไม่ได้ใช้งาน นอกจากนี้ระบบยังไดนามิก
คือเมื่อใดที่ความนิยมหรือพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลเปลี่ยนไป
ระบบก็จะเปลี่ยนตามโดยไม่ต้องให้คนสั่งการ
“Integrated Voice VDO Data” เป็นอีกประเด็นที่ต้องยกให้เป็นทิศทางปีนี้
แม้จะถูกกล่าวถึงกันมานับ 10 ปีก็ตาม แต่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์
ขณะที่ปัจจุบันและเทคโนโลยีสามารถเชื่อมต่อเป็นระบบเดียวกันแบบไร้รอยต่อได้แล้ว
อำนวยความสะดวก รวดเร็ว ใช้งานง่าย โดยทุกอย่างทำได้ในระบบทั้งหมด
ในอดีตเทคโนโลยี VDO Conference ต้องมีการเซตอัพ ทั้งกล้อง และเครื่อง
และต้องเซตอัพทั้งปลายทางและต้นทาง อีกทั้งยังต้องนัดเวลาให้ตรงกันด้วย
หากมีพรีเซนเทชันในเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถดูได้ทันที
ปัจจุบันเทคโนโลยีสามารถทำในรูป Integrated Voice VDO Data ได้
คือสามารถเชื่อมทั้งเสียง ภาพ และข้อมมูลเข้าด้วยกันได้ เช่นว่าอุปกรณ์ IP Phone
ของซิสโก้เป็นการเชื่อมโยงเสียง ภาพ และข้อมูล ได้แล้ว มีเพียงโทรศัพท์ไอพี
มีโน้ตบุ๊กและเสียบสายโทรศัพท์ ก็สามารถประชุมทางไกลได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาเซตอัพให้ยุ่งยาก
ส่วน “IP Video Surveillance” เทคโนโลยีใหม่ที่เป็นแนวโน้ม
ทำให้การทำงานที่เกี่ยวกับการใช้ภาพมีวิวัฒนาการล้ำหน้าไปอีกก้าว
จากนี้ไปการแพร่ภาพจะไม่มีข้อจำกัดด้านระบบ โดยสามารถส่งผ่านเครือข่ายได้ทันที
สามารถค้นหาภาพจากเวลาบันทึกได้ สามารถส่งภาพไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่เป็นไร้สายได้
อีกแอพพลิเคชันหนึ่งที่เป็นแนวโน้มคือ “IP Video Surveillance”
เป็นกล้องวงจรปิดที่ผ่านระบบไอพี ถามว่ามันวิเศษอย่างไร... วรกร บอกว่า
ยกตัวอย่างว่าในกรณีที่ติดตั้งระบบดังกล่าวไว้ภายในโรงงาน เมื่อผู้บริหารต้องเดินทางไปประชุม
หรือพรีเซนต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดก็สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตแล้วเปิดให้ผู้ฟังดูสถานที่
บรรยากาศภายในโรงงานได้แบบเรียลไทม์ และยังสามารถบังคับกล้องให้หันไปทิศทางใดตามต้องการก็ได้
นั่นคือการอินทิเกรต Voice VDO Data อย่างเต็มรูปแบบและมาถึงจุดที่ใกล้ตัวเรามากขึ้น
“โดยสรุปแนวโน้มในปีนี้นอกจาก เทคโนโลยีไร้สาย เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่จะ Built in
มากับอุปกรณ์ต่างๆ แล้วเราจะได้เห็นความฉลาดของระบบเน็ตเวิร์กที่มากขึ้นด้วย” วรกร
โดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่าปีนี้เป็นปีที่ “เน็ตเวิร์ก” มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเลยทีเดียว
ส่วนเทคโนโลยีที่มาแรงในอนาคตแต่ปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้นชัดเจนในประเทศไทย วรกร บอกว่า...
ต้องจับตา RFID และ WiMAX สำหรับ RFID นั้นเกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศมีผู้ค้าปลีกเช่นวอลมาร์ต
และค้าส่งบางรายนำไปใช้แล้ว เพราะอำนวยความสะดวกอย่างมาก
แทนการใช้บาร์โค้ดซึ่งต้องสแกนบาร์โค้ค จากสิ่งของแต่ละชิ้นเพื่อบันทึกรายการ และคำนวณราคา
ขณะที่ RFID เป็นเทคโนโลยีส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ อำนวยความสะดวกทั้งในแง่การเช็คสต็อกสินค้า
รวมไปถึงการบันทึกรายการและคำนวณราคาสินค้าเนื่องจากสามารถใช้สัญญาณวิทยุ
ในการเช็คสิ่งของทั้งหมด เช่นในกรณีที่ต้องการคำนวณราคาสินค้าที่ซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ต
เพียงเดินผ่านช่องคิดเงินเครื่องก็จะทำรายงานออกมาได้ทันทีโดยไม่ต้องพลิกหา
เพื่อสแกนบาร์โค้ดคำนวณคาใช้จ่าย
“ซิสโก้ในต่างประเทศก็ได้วางระบบเน็ตเวิร์กให้กับผู้ค้ารายหนึ่งไปแล้ว
ถามว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เราไม่ได้ทำ RFID แต่เราวางระบบให้
ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือต้องดูว่าจะเพิ่มฟีเจอร์ฟังก์ชันให้กับระบบ RFID อย่างไร
เช่นดูว่าจะเพิ่มความเร็วได้อย่างไร หรือจะเสริมในด้าน Security อย่างไร” วรกร สำทับ
WiMAX อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่ต้องจับตา เป็น Wireless ระยะไกลซึ่งระบบนี้มีความเสถียรสูง
มีความปลอดภัยสูง ประหยัดค่าใช้จ่าย และใช้บนย่านความถี่ทั่วไป
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่สามารถใช้ได้เพราะยังติดกฎระเบียบที่ไม่เอื้ออำนวย
"คอนเวิร์จ เน็ตเวิร์ก” ปีนี้หนีไม่พ้น
ความเห็นจาก อารมณ์ พรประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารตัวแทนจำหน่าย
บริษัท นอร์เทล เน็ทเวิร์คส์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า... “ปี 2548
เทคโนโลยีทางด้านเน็ตเวิร์กจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
การผนวกโซลูชันที่เกี่ยวข้องทางด้านเน็ตเวิร์กต่างๆ
จะมารวมกันไม่ว่าจะเป็น ดาต้า วอยซ์ ซีเคียวริตี้ แอพพลิเคชัน ฯลฯ
จะผนวกรวมกันกลายเป็น คอนเวิร์จ เน็ตเวิร์ก"
เทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นเทรนด์ที่โลกต้องมุ่งไป
การคอนเวิร์จนั้นจะให้ประสิทธิภาพได้ดีต้องอาศัยหลักการแบบ
โอเพ่น อินเทอร์เฟซ เพื่อที่จะให้สิ่งต่างๆ สามารถมาบรรจบกันได้อย่างไม่ติดขัด
สำหรับดาต้าและวอยซ์ที่จะต้องควบรวมกันเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
องค์กรใดที่มีระบบใดระบบหนึ่งจำต้องไมเกรตเข้าอีกระบบหนึ่งให้ได้
หรือองค์กรใหม่ที่กำลังจะพิจารณาการอิมพลีเมนต์เน็ตเวิร์กก็จะเลือกหาเครือข่ายแบบ "คอนเวิร์จ เน็ตเวิร์ก"
เส้นทางที่นอร์เทลจะมุ่งไปมีอยู่ 2-3 กลุ่ม ก็คือกลุ่มของ คอนเวิร์จ เน็ตเวิร์ก
เป็นโซลูชันที่ผนวกเอาความสามารถของวอยซ์และดาต้าเข้ามารวมกันในเน็ตเวิร์กเดียว
เน็ตเวิร์กที่เพิ่มขีดความสามารถทางด้านซีเคียวริตี้ และแอพพลิเคชันทางด้านมัลติมิเดีย อารมณ์
ยังเสริมว่า เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นเทรนด์ของเทคโนโลยีโลกที่ทุกคนกำลังจะมุ่งไป
และนอร์เทลก็พัฒนาโซลูชันของตัวเองให้สามารถ รองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่กำลังจะเกิดขึ้น
"โซลูชันดังกล่าวเกิดขึ้นเพราะความต้องการของลูกค้า ปัจจุบันนี้เวลาลูกค้าจะมองหาโซลูชันทางด้านเน็ตเวิร์ก
พวกเขาจะพิจารณาถึงตัวแบ็กโบน เน็ตเวิร์กที่จะต้องรองรับการทำงานได้ทั้งเสียง ข้อมูล และวีดีโอ
อีกทั้งยังต้องปลอดภัยจากเหล่าบรรดาแฮกเกอร์หรือรูปแบบการโจมตีเครือข่ายจากทั้งภายในภายนอก
สำหรับนอร์เทลเรากล้าที่จะบอกว่าผลิตภัณฑ์ของเราพร้อมที่จะรองรับความต้องการเหล่านั้น" อารมณ์ กล่าว
ทางด้านโซลูชันที่เกี่ยวกับมัลติมีเดีย อารมณ์ บอกว่านอร์เทลมีโซลูชันทางด้านแอพพลิเคชันหลายรูปแบบ
อาทิ คอลล์เซ็นเตอร์ จะนำเสนอให้สามารถเลือกใช้ได้ด้วย
เขายังบอกอีกว่าตลาดในเมืองไทยทางด้านเน็ตเวิร์กยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งนอกเหนือจากที่นอร์เทลจะจำหน่ายฮาร์ดแวร์แล้ว
ยังมีแผนที่จะผลักดันแอพพลิเคชันเข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้คือเทคโนโลยีเทรนด์รวมทั้งโซลูชัน ของนอร์เทลที่จะออกมารองรับ
ก้าวเข้าสู่ยุคคอนเวอร์เจน
ขณะที่ "ศุภชัย เจียรวนนท์" กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร
บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) สำทับไปในทิศทางเดียวกันถึงการเปลี่ยนแปลง
ที่จะเกิดขึ้นในปี 48 ว่า...เป็นการก้าวเข้าสู่ยุคคอนเวอร์เจนที่แท้จริง เขาอธิบายว่า
การคอนเวอร์เจนเกิดขึ้นในหลายทาง อย่างฝั่งของคอนเทนต์และไอที ก็กำลังเดินเข้าหากัน
หรืออย่างฟากโอเปอเรเตอร์ทั้งสื่อสารโทรคมนาคม มีเดียและไอที
ทั้ง 3 อุตสาหกรรมก็กำลังเดินเข้าหากัน รวมถึงเวนเดอร์ที่มีทั้งเทเลคอม เวนเดอร์
คอนซูมเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ เวนเดอร์และไอที เวนเดอร์ ก็กำลังเดินเข้าหากัน
หรือแม้กระทั่งการเดินเข้าหากัน ของระบบโครงข่าย ที่เป็นฮาร์ดแวร์ก็เกิดขึ้น
"ผมมองและเชื่อมั่นว่าปี 48 นี้ อุตสาหกรรมโทรคมนาคาโดยรวมจะขยับเข้าสู่การคอนเวอร์เจน
ที่มีทั้งไอที มีเดีย คอนซูมเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ คอมเมิร์ซ
เห็นได้จากการขยับตัวของ ทรู รวมถึงค่ายอื่นขยับตัวตาม
เป็นผู้ให้บริการครบวงจร"
...นั่นคือคำพูดของศุภชัยที่ชึ้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการเข้าสู่ยุคของการคอนเวอร์เจน
โดยปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการคอนเวอร์เจนนั้น มาจากหลายส่วนอาทิ ตัวเทคโนโลยี
โครงสร้างตลาด ความต้องการตลาด และโครงข่าย ฯลฯ
ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยสำคัญของการคอนเวอร์เจนกันทั้งระบบ
เน็ตเคลื่อนที่กำลังจะมา!
ความพร้อมเรื่อง IPv6 ในองค์กร และอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่จะได้รับความสำคัญเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดตั้ง WiMax จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายเสมือนซึ่งการติดตั้ง WiMax
นั้นจะเชื่อมโยงโดยตรงกับโครงสร้างระบบเครือข่ายหลัก เพื่อจัดการกับการใช้งานของผู้ใช้จำนวนมาก
และเพื่อบริหารความปลอดภัยในการที่ต้องรองรับอุปกรณ์ IPv6
ที่นับวันมีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมทั้งการสื่อสารเข้าระบบในแบบไร้สาย
ตามการคาดการณ์ระดับการใช้งานที่จะทะยานสูงขึ้นอย่างอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
อิสรา เปรมธรรมกร ผู้จัดการ ประจำประเทศไทยบริษัท จูนิเปอร์ เน็ทเวิร์คส์ จำกัด กล่าว
ในประเด็นของความปลอดภัยนั้น อิสรา มองว่าเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและความมั่นใจของคนเป็นหลัก
ซึ่งจัดว่าเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของระบบเครือข่ายเสมือนในการที่องค์กรจะนำไปใช้งาน
อันเป็นเหตุผลประการสำคัญที่จูนิเปอร์ เน็ตเวิร์คส์เห็นว่าความปลอดภัยเป็นประเด็นสำคัญ
เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบ เพื่อการเติบโตอย่างรวดเร็วทั่วถึงในอุตสาหกรรมนี้
โดยต้องการให้องค์กรต่างเห็นความสำคัญ นำไปปรับใช้ ดังนั้นจูนิเปอร์
เน็ตเวิร์คส์จึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อจัดการกับปัญหาและนำเสนอโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
อิสรา ยังกล่าวถึงเทคโนโลยีที่โลกกำลังหมุนไป ต้องมีความฉลาดและให้ความรวดเร็วในเวลาเดียวกัน
ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดนั้นถือเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสำคัญอันดับหนึ่ง
ที่ต้องเร่งพัฒนาออกสู่ตลาดก่อนสิ่งอื่นใด "ทุกวันนี้ปัญหาทางเทคนิคที่เราก็คือ
การประสบปัญหาแบบได้อย่างเสียอย่าง คือ เราได้อย่างหนึ่งแต่ต้องขาดอีกอย่างหนึ่งไป
เช่น เราสามารถมีระบบที่เร็วแต่เรียบง่ายไร้ความซับซ้อนหรือมีระบบที่ฉลาด
แต่ทำงานช้าซึ่งไม่ว่าจะเป็นอย่างใดก็ยอมรับไม่ได้ทั้งสิ้น" อิสรา ย้ำท้าย
อนาคตสตอเรจ
สตอเรจ เทคโนโลยีที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งในระบบเน็ตเวิร์ก
องค์กรใดมีข้อมูลจำนวนมากจะขาดระบบสตอเรจเสียมิได้
ทิศทางการสตอเรจในปีนี้เป็นอย่างไร อัคคมณฑ์ ศรีหิรัญ ผู้จัดการโครงการ
บริษัทอีเอ็มซี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า สำหรับลูกค้ากลุ่มเอนเตอร์ไพรส์
และเอสเอ็มอีในปีนี้ จะมีไอทีเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเฉพาะ ไอ สกัสซี (iSCSI)
ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบจัดเก็บข้อมูลที่ช่วยให้องค์กรธุรกิจจัดเก็บหรือเรียกใช้ข้อมูลจากระยะไกลได้
และช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าได้มาก เมื่อเทียบกับไฟเบอร์แชนแนลโอเวอร์ไอพี หรือเอฟซีไอพี
ที่แม้ว่ามีความเร็วค่อนข้างสูง แต่ราคาแพง
นอกจากนี้ผู้ใช้ยังให้ความสนใจในเรื่องของ Business Continuous
และ Disaster Recovery รวมถึง Storage System Management
ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ลูกค้าบางส่วนจะยังคงยึดติดกับ SAN
และ ไฟเบอร์ ชาแนล โอเวอร์ไอพีต่อไป
สำหรับทิศทางเทคโนโลยีสตอเรจในต่างประเทศนั้น อัคคมณฑ์ บอกว่า
จะเน้นด้านการเพิ่มความเร็วของ SAN ให้เร็วขึ้นกว่า 2 กิกะบิต
และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับสตอเรจ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าทำงานง่ายขึ้น และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งได้
มหันตภัยบนเครือข่าย
สำหรับภัยร้ายบนเครือข่ายก็ยังคงร้ายแรงด้วยความต่อเนื่อง แอนโทนี่ ลิม
ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ระบบรักษาความปลอดภัยประจำภูมิภาคเอเชียใต้
บริษัท คอมพิวเตอร์ แอสโซซิเอทส์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ หรือซีเอ
ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของระบบรักษาความปลอดภัยในปีนี้ว่า
เริ่มปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งประกอบด้วย สแปม, สปายแวร์,
การลักลอบใช้ช่องโหว่และการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์
โดย สแปม เป็นวิธีการโจมตีคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่
ที่ทุกวันนี้กลายเป็นเครื่องมือเสนอขายผลิตภัณฑ์และบริการ
อาทิ นาฬิกาปลอม ยาปลอมหรือยาราคาถูก โฆษณาการพนัน สื่อลามก
บริการทางการเงินนอกกฎหมาย รวมถึงซอฟต์แวร์ปลอมหรือซอฟต์แวร์ราคาถูก
ของเหล่ามิจฉาชีพ หรือผู้ก่ออาชญากรรม
ขณะที่ สปายแวร์ คือ รูปแบบการคุกคามจากอินเทอร์เน็ต ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกับแอดแวร์
ซึ่งอาศัยการฝังตัวเองในเครื่องพีซีในรูปของคุกกี้ จาวา แอพเพล็ต แอ็กทีฟ เอ็กซ์ และ เอเจนท์
โดยแทนที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลทางการตลาดหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับงานลูกค้าสัมพันธ์
แต่กลับขโมยข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ของผู้ใช้ส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ต้นทาง
“สปายแวร์อันตรายต่อระบบ เพราะทำงานคล้ายม้าโทรจัน
คือหลังจากเข้าไปในเครื่องพีซีได้แล้วจะขโมยข้อมูลสำคัญ
อาทิ รหัสผ่าน ข้อมูลเครดิตการ์ด หรือข้อมูลส่วนตัว
ขณะที่โซลูชั่นไฟร์วอลล์และป้องกันไวรัสแบบดั้งเดิมไม่สามารถเฝ้าระวัง
และหยุดการทำงานของสปายแวร์ได้” ลิม อธิบาย
ส่วน การลักลอบใช้ทรัพยากรโดยอาศัยช่องโหว่ของซอฟต์แวร์นั้น
มีปริมาณเพิ่มขึ้นและรวดเร็วจนอยู่ในระดับที่ผู้ผลิตระบบรักษาความปลอดภัยไม่สามารถค้นพบ
ดำเนินการป้องกัน และเผยแพร่ข่าวสารสู่สาธารณชนได้ อีกทั้งพบด้วยว่าเกิดจากขบวนการก่ออาชญากรรม
ไม่ใช่แฮกเกอร์หรือนักศึกษาอีกต่อไป
ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ที่ประสบปัญหาช่องโหว่ในปัจจุบัน ไม่ได้มีเพียงแค่ไมโครซอฟท์เท่านั้น
แต่ระบบปฏิบัติการของเราเตอร์ก็อาจประสบปัญหาเช่นเดียวกันได้
“การบริหารจัดการช่องโหว่จะต้องดำเนินควบคู่ไปกับระบบบริหารจัดการทรัพย์สินด้านไอที
เพราะสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทต่างๆ ประสบภัยคุกคามจากแฮคเกอร์และเวิร์มนั้น
เป็นผลมาจากการใช้ซอฟต์แวร์ผิดเวอร์ชัน ซอฟต์แวร์ที่ไม่ได้ผลิตเพื่อการใช้งานอย่างแท้จริง
หรือซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย รวมถึงอาจใช้โปรแกรมยูทิลิตี้ที่ดาวน์โหลดฟรีจากอินเทอร์เน็ตหรือจากเพื่อน” ลิม กล่าว
สำหรับเทคโนโลยีและโซลูชันที่ทางซีเอ จะออกมาสนับสนุนแนวโน้มตลาดระบบรักษาความปลอดภัยที่ว่านี้
ประกอบด้วย ซีเคียว คอนเท็นต์ แมเนเจอร์ หรือเอสซีเอ็ม
โซลูชันที่สามารถปกป้องเครือข่ายภายในองค์กร หรือเครือข่ายท้องถิ่นจากสแปม ไวรัส
รหัสที่แฝงเจตนาร้ายได้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ทั้งยังกรอง URL และเนื้อที่มีการส่งข้อมูลสองทิศทาง
(เพื่อให้มั่นใจว่าทั้งโทรจันและเวิร์มจะไม่สามารถขโมยข้อมูลจากระบบได้)
รวมถึง เพสต์พาโทร หรือพีซี โซลูชันป้องกันไวรัส
ที่สถาบันวิจัยสปายแวร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกยกย่องให้เป็นโซลูชันป้องกันไวรัสตัวแรกที่มีความสมบูรณ์มากสุด
และ วัลเนอราบิลิตี้ แมเนเจอร์ หรือวีเอ็ม ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่แค่สแกนเครือข่ายในองค์กรทั้งหมด
แต่เป็นระบบบริหารจัดการทรัพย์สินซอฟต์แวร์ (ซึ่งประกอบด้วยเราเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆ
ที่ทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์) ที่สามารถทำงานร่วมกับผู้ผลิตซอฟต์แวร์ สถาบันวิจัยเรื่องช่องโหว่
และองค์กรอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อจัดทำแพทช์ที่ป้องกันระบบรักษาความปลอดภัยให้อัพเดตที่สุดอยู่เสมอ
ด้วยการติดตั้งแพทช์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสหรือหนอนทั้งหมดโดยอัตโนมัติ
และแนะนำวิธีการปรับแต่งค่าการทำงานที่มีประสิทธิผลสำหรับกรณีที่ยังไม่มีแพทช์จากผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใดช่วยแก้ปัญหาได้
ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น จะมากหรือน้อย ต้องติดตาม!
__________________________________________________________________
่
http://www.pakxe.com/home/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=483
ระบบบ่งชี้อัตโนมัติ (Automatic Identification , Auto ID) อาจเป็นคำที่ไม่คุ้นเคย แต่ใกล้ตัวที่สุดของทุกคน ระบบ Auto ID ที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดคือ ระบบบาร์โค้ด (Barcode System) ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในหีบห่อสินค้า กล่อง ขวด สินค้าในร้านสะดวกซื้อทุกชนิด รวมถึงสินค้าในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ โดยบาร์โค้ดประกอบด้วย แท่งสีดำ และช่องห่างระหว่างแท่งจะเป็นสีขาวหรือสีพื้น วางขนานกันในแนวตั้ง มีระยะห่างและความหนาต่างกันไป แล้วใช้เครื่องอ่านแบบเลเซอร์ ยิงแสงเลเซอร์ไปที่แถบบาร์โค้ด เพื่ออ่านข้อมูล ชนิดของบาร์โค้ดที่นิยมมากที่สุด เป็นชนิด EAN Code (European Article Number)
__________________________________________________________________
ระบบที่โดดเด่นรองลงมา คือ ระบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card System) ซึ่งจะนำมาใช้เป็นบัตรประชาชนของคนไทยเร็ว ๆ นี้ แต่มีข้อจำกัดคือ เป็นแถบแม่เหล็กหรือไมโครชิป ในการอ่านเขียนข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดการสึกหรอกับเครื่องอ่านได้ง่าย
ระบบที่มาแรง และมีการเริ่มใช้อย่างแพร่หลาย ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตอนนี้ คือ ระบบ RFID (Radio Frequency Identification) ระบบนี้จะคล้ายกับสมาร์ทการ์ด คือ ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในการ์ดหรือ Tags แต่ข้อแตกต่างที่เด่นชัดคือ การอ่านข้อมูลของระบบนี้ ไม่ต้องสัมผัสเหมือนสมาร์ทการ์ด เพราะใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในช่วงคลื่นความถี่วิทยุ เป็นพาหะในการสื่อสารข้อมูล
ส่วนประกอบของระบบ RFID
* ฉลาก หรือ Data Carrier หรือมักจะเรียกง่าย ๆ ว่า Tags ซึ่งใช้เก็บข้อมูล และติดอยู่กับวัตถุ หรือสินค้าที่ต้องการระบุ
* เครื่องอ่าน (Reader) ประกอบด้วยระบบรับ-ส่งสัญญาณวิทยุ ส่วนควบคุมและเสาอากาศ (Antena) ทำหน้าที่คล้องสัญญาณกับ Tags และส่วนของการติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์ควบคุมภายนอก (RS232C, RS485 , RS422) ขึ้นอยู่กับการสื่อสารที่ต้องการ
ถ้าอธิบายกันเฉย ๆ คงไม่เห็นภาพ ยกตัวอย่างสิ่งที่ใกล้ตัว หรือ ชีวิตประจำวันของคนไทย คงจะทำให้เข้าใจขึ้น เช่น ในห้างสรรพสินค้า หรือ ร้านขายเทป/ซีดี ร้านค้าซึ่งมีทางเข้าออกหลายทาง จะพบเห็นอุปกรณ์ชิ้นนึง ตั้งอยู่ประตูทางเข้า-ออก หรือ ด้านหลังพนักงานเก็บเงิน (ตามภาพประกอบ) ซึ่งเป็นระบบการตรวจสอบการจ่ายเงินของสินค้า เมื่อเข็นรถเข็นหรือหิ้วถุงสินค้าผ่านเครื่องดังกล่าว หากมีสินค้า ชิ้นใดยังไม่จ่ายเงิน เครื่องก็จะส่งเสียงร้องเตือนทันที ระบบดังกล่าวก็คือ การติด Tags ของ RFID นั่นเอง โดยห้างสรรพสินค้า หรือ ร้านค้า มักจะติดระบบ RFID กับสินค้าบางชิ้นที่มีราคาแพง หรือ ชิ้นเล็กแต่พกพาหรือซุกซ่อนได้ง่าย ถ้าเป็นร้านขายเทป/ซีดี อาจจะติดไว้บนสินค้าทุกชิ้นก็ได้
RFID ที่คุ้นเคยสำหรับผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็คือ บัตรโดยสารทั้งแบบชั่วคราว (เหรียญ) และแบบเติมเงิน ซึ่งสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับเครื่องอ่าน เพียงแต่นำบัตรหรือเหรียญค่าผ่านทาง ให้ไปอยู่ในรัศมีการอ่านของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น บางคนก็เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์หรือกระเป๋าถือ แล้วนำกระเป๋าไปวางใกล้ ๆ เครื่องอ่าน เพื่อให้เครื่องค้นหาและอ่านข้อมูลเองได้เลย
คุณสมบัติเด่นของ RFID
* อ่าน/เขียนได้โดยไม่ต้องสัมผัส
* ทนต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งสกปรก เพราะใช้คลื่นความถี่วิทยุเป็นพาหะในการอ่านข้อมูล
* อ่าน/เขียนข้อมูลได้สะดวก เพราะเครื่องอ่าน/เขียนเป็นเครื่องเดียวกันได้เลย
* สื่อสารได้ทุกทิศทาง ไม่จำเป็นต้องอยู่ตรงหน้ากับเครื่องอ่าน
* สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (สูงสุด 100,000 ครั้งต่อ 1 Tags)
* มีหลากหลายแบบให้นำไปประยุกต์ใช้งานได้
* ความสามารถในการทะลุทะลวงของสัญญาณดี สามารถใช้ Tags ฝังเข้าไปในวัตถุหรือสินค้าได้
* สื่อสารได้ระยะไกล ตั้งแต่ 0-10 เมตร
* หน่วยความจำขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1 บิต (ระบบ EAS ที่ใช้ในห้างสรรพสินค้า เพื่อตรวจการจ่ายเงินของสินค้า) หรือ 8-64 กิโลไบต์ สำหรับสินค้าที่ต้องการบันทึกรายละเอียดต่าง ๆ มากขึ้น
* อ่าน/เขียนได้มากว่า 1 Tags เมื่อมี Tags เข้ามาในรัศมีการอ่านมากกว่า 1 Tags
* อ่าน/เขียนข้อมูลขณะวัตถุกำลังเคลื่อนที่ได้ ซึ่งเหมาะสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ต้องลำเลียงสินค้าผ่านสายพาน หรือ ใช้คัดแยกหรือติดตามพัสดุไปรษณีย์ได้
ในอนาคตอันใกล้ ระบบบาร์โค้ด จะถูกแทนที่ด้วยระบบ RFID ซึ่งเริ่มมองเห็นการใช้งานบ้างแล้วในชีวิตประจำวัน เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน การติด Tags ในสินค้าของห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ และบริษัทหรือโรงงานที่ต้องการความยืดหยุ่นและจุดเด่นต่าง ๆ ของ RFID ต่างก็เริ่มประยุกต์ใช้กันแล้ว
_______________________________________________________
http://www.barcoderetail.co.th/aboutus/content.php?id=26
http://www.intermec.com
http://www.intermec.com
http://www.simat.co.th/
http://www.grand-flo.com/
http://www.barcode-wiseness.com/
http://www.barcodethailand.com/contactus2.php
http://www.gunnerbarcode.com/
http://www.scanhitech.com/Default.aspx
http://www.citysoft.co.th/Main.asp
http://www.csretail.co.th/products/product_mf.php?id=14
http://acentech.net/cms/
http://www.lagasgold.com/lagas/service.html
http://www.lagasgold.com/lagas/franch1.html
http://www.tarad.com/creativelabelprinting/#News
http://www.lannapos.com/about_us.php
No comments:
Post a Comment