เปลี่ยนบรรยากาศจาก text mode มาเป็น GUI บ้าง กับยักษ์ใหญ่ ผมว่าถ้าใครไม่คุ้นเคยกับ embedded มาก่อน การเริ่มต้นกับชุด Windows Embedded Studio ก็ดีนะครับ เพราะว่าขั้นตอนการทำงานนั้นคล้ายกันหมดแหละ ไม่ว่าจะแพลตฟอร์มไหน อยู่ที่เครื่องมือเครื่องไม้นั้นมันเลิศแค่ไหน มีตังค์อ๊ะป่าว ไรประมาณนั้น ก็ไม่ต้องไปเอาไปเปรียบเทียบกับ Linux ละกัน
สำหรับ Windows Embedded Studio 2009 ก็พัฒนาต่อมาจาก Windows XP Embedded service pack 2 นั่นเอง โดยเจ้านี้ก็จะเป็น Windows XP service pack 3 ถามว่า แล้วงี้มันต่างจาก XP ที่ใช้บน เครื่อง desktop ยังงัย คำตอบคือ ไม่ต่าง ครับ ที่แตกต่างคือการติดตั้งและคอนฟิกมัน เพื่อให้เหมาะสมกับงานนั้นๆโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านฮาร์ดแวร์หรือการใช้งาน
อาจจะมีคำถามต่อไปว่า อ้าว ถ้าไม่ต่าง ทำไมต้องซื้อมาใช้ด้วยละ คำตอบก็คือ มันเหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางครับ โดยการที่เอาเครื่อง PC ธรรมดาๆเนี่ยแหละไปใช้ โดยหลายเหตุผลที่เราต้องการคอนฟิกมันเพื่อให้มันทำงานที่เราต้องการโดยเฉพาะอย่างเดียว ยกตัวอย่าง เช่น เครื่อง ATM, ตู้ kiosk ไม่ว่าจะเพื่อการโฆษณาหรือความบันเทิง, ตู้เกมหยอดเหรียญ เป็นต้น จะเห็นว่า ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้ ล้วนไม่จำเป็นต้องใช้ cpu หรือ mcu ที่มันตัวเล็กกว่า กินไฟน้อยกว่า หรือต้องไปใช้พวก SBC (single board computer) เพราะว่ากันจริงๆแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตอนนี้มันก็แทบจะทับซ้อนกันนิดๆแล้ว ลองมองดู พวก atom, via nano กับ beagle board สิครับ เพราะฉะนั้น มันก็อยู่ที่เรานั่นแหละ เลือกใช้ได้เหมาะสมกับตัวเองหรือเปล่า อันนี้คงมีองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ลองดูจากรูปข้างล่างนี้เอา
ที่ผมเล่นอยู่ตอนนี้เป็นตัวเก่าคือ XPE sp2 ก็ขอใช้ตัวนี้แนะนำละกัน อ้อ เดี๋ยวจะงงกันสำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบ ไมโครซอฟต์ เค้าวางตัวสินค้าเอาไว้หลายระดับนะครับ ตอนนี้ไม่ขอพูดถึงตระกูล CE และ Windows Mobile สารพัดเวอร์ชั่นเหล่านั้น เพราะยังไม่ได้ลองเป็นจริงเป็นจัง ถ้าจะได้ลองก็คงด้วยเจ้า mini2440 นั่นเอง (เอาให้คุ้ม) กลับมาที่ XPE sp2 ต่อ ขั้นตอนการพัฒนาระบบก็จะแบ่งได้ดังนี้ ดูรูปไปด้วย เข้าใจง่ายดีครับ
1. Target analysis (tap) ก็เป็นการตรวจสอบและเก็บข้อมูลว่าอุปกรณ์ที่ต้องการจะลง XPE นั้นจะใช้ driver อะไรบ้าง
2. ได้ข้อมูลแล้วก็เอามาปรับแต่งหรือเพิ่มเติม driver ที่ไม่สามารถ tap เอามาได้ โดยใช้ component designer
3. จัดเก็บลง database หมายความว่าคุณต้องมี SQL server
4. ด้วย Target Designer คุณสามารถออกแบบว่าอุปกรณ์ของคุณจะทำงานลักษณะไหน อาจจะใช้ template ที่มาให้แล้วเป็นพื้นฐาน เช่น Game Console/Kiosk หรือ POS แล้วปรับแต่งอีกที หรือจะออกแบบเองใหม่ทั้งหมดก็ได้ โดยการลาก component มาใส่
5. เสร็จแล้วก็ build image ออกมา
6. เอาไป install โดยการ copy ครับ !
เท่าที่ลองใช้ดูก็ไม่ยากเย็นอะไรกับการใช้งานพิ้นฐานทำตามตัวอย่างในเอกสารที่มีมาให้ แต่ขั้นแอดวานซ์ก็ต้องนั่งศึกษาเหมือนกัน เช่นการลง driver การ์ดจอตัวใหม่ๆที่เราต้องการเอง
เท่านี้ก่อนละกัน พอหอมปากหอมคอ
สำหรับ Windows Embedded Studio 2009 ก็พัฒนาต่อมาจาก Windows XP Embedded service pack 2 นั่นเอง โดยเจ้านี้ก็จะเป็น Windows XP service pack 3 ถามว่า แล้วงี้มันต่างจาก XP ที่ใช้บน เครื่อง desktop ยังงัย คำตอบคือ ไม่ต่าง ครับ ที่แตกต่างคือการติดตั้งและคอนฟิกมัน เพื่อให้เหมาะสมกับงานนั้นๆโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านฮาร์ดแวร์หรือการใช้งาน
อาจจะมีคำถามต่อไปว่า อ้าว ถ้าไม่ต่าง ทำไมต้องซื้อมาใช้ด้วยละ คำตอบก็คือ มันเหมาะกับการใช้งานเฉพาะทางครับ โดยการที่เอาเครื่อง PC ธรรมดาๆเนี่ยแหละไปใช้ โดยหลายเหตุผลที่เราต้องการคอนฟิกมันเพื่อให้มันทำงานที่เราต้องการโดยเฉพาะอย่างเดียว ยกตัวอย่าง เช่น เครื่อง ATM, ตู้ kiosk ไม่ว่าจะเพื่อการโฆษณาหรือความบันเทิง, ตู้เกมหยอดเหรียญ เป็นต้น จะเห็นว่า ตัวอย่างที่ยกมาเหล่านี้ ล้วนไม่จำเป็นต้องใช้ cpu หรือ mcu ที่มันตัวเล็กกว่า กินไฟน้อยกว่า หรือต้องไปใช้พวก SBC (single board computer) เพราะว่ากันจริงๆแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตอนนี้มันก็แทบจะทับซ้อนกันนิดๆแล้ว ลองมองดู พวก atom, via nano กับ beagle board สิครับ เพราะฉะนั้น มันก็อยู่ที่เรานั่นแหละ เลือกใช้ได้เหมาะสมกับตัวเองหรือเปล่า อันนี้คงมีองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ลองดูจากรูปข้างล่างนี้เอา
Microsoft Embedded Technology
XPE development cycle
2. ได้ข้อมูลแล้วก็เอามาปรับแต่งหรือเพิ่มเติม driver ที่ไม่สามารถ tap เอามาได้ โดยใช้ component designer
3. จัดเก็บลง database หมายความว่าคุณต้องมี SQL server
4. ด้วย Target Designer คุณสามารถออกแบบว่าอุปกรณ์ของคุณจะทำงานลักษณะไหน อาจจะใช้ template ที่มาให้แล้วเป็นพื้นฐาน เช่น Game Console/Kiosk หรือ POS แล้วปรับแต่งอีกที หรือจะออกแบบเองใหม่ทั้งหมดก็ได้ โดยการลาก component มาใส่
5. เสร็จแล้วก็ build image ออกมา
6. เอาไป install โดยการ copy ครับ !
เท่าที่ลองใช้ดูก็ไม่ยากเย็นอะไรกับการใช้งานพิ้นฐานทำตามตัวอย่างในเอกสารที่มีมาให้ แต่ขั้นแอดวานซ์ก็ต้องนั่งศึกษาเหมือนกัน เช่นการลง driver การ์ดจอตัวใหม่ๆที่เราต้องการเอง
เท่านี้ก่อนละกัน พอหอมปากหอมคอ
No comments:
Post a Comment